My Activity



กิจกรรมยามว่าง

1. ทำอาหาร : การทำอาหารถือเป็นทักษะที่มีประโยชน์และจำเป็นในชีวิต ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาการพึ่งพาตัวเองในอนาคตเท่านั้นแต่การทำอาหารยังช่วยพัฒนาทักษะด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์อีกด้วยไม่ว่าจะเป็นการนับ การหาร ชั่ง ตวง วัด เวลา และเรียนรู้การถนอมอาหารอีกด้วย
2. เล่นกีฬา : กิจกรรมการเล่นกีฬาไม่เพียงแต่พัฒนาความแข็งแรงด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังพัฒนาสมองอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นบาสเกตบอล แชร์บอล ฟุตบอล เทนนิส ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เทควนโด ล้วนแล้วแต่พัฒนาความเชื่อมั่นในตัวเอง การทำงานเป็นทีม ความสามัคคี และการคิดอย่างมีเหตุผลอีกด้วย เด็กที่มีอายุ 14ปีขึ้นไป หากฝึกการเล่นกีฬาจะทำให้ร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อ มีสุขภาพที่ดี มีการพัฒนา และติดไปจนเป็นนิสัยจนโต
3. อ่านหนังสือ : เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า การอ่านช่วยพัฒนาสมองในระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นการจัดเวลา และให้เด็กมีโอกาสได้อ่านหนังสือประมาณ 1ชั่วโมงต่อ 1วันจะช่วยให้เด็กมีการเรียนรู้ที่ดีขึ้น มีนิสัยรักการอ่าน เปิดโลกจินตนาการ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ดีกว่าการดูทีวีทั้งวัน หรือเล่นมั่วสุมกับเพื่อนๆ การให้เด็กมีโอกาสไปห้องสมุด หรืออาจให้รางวัลเล็กๆน้อยๆกับเด็กหลังจากการอ่านจะช่วยกระตุ้นให้เด็กรักการอ่านมากขึ้น และจะติดเป็นนิสัยไปจนโต
4. เล่นหมากรุก หรือหมากฮอส : การเล่นเกมบนหมากกระดาน จะช่วยพัฒนาสมองได้อย่างคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมิติสัมพันธ์ การเรียนรู้เรื่องของตัวเลข ทิศทางความสัมพันธ์ จากการศึกษาที่ฮ่องกงพบว่าการเล่นหมากกระดานช่วยพัฒนาการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้ถึง 15%หลังจากทำแบบทดสอบ ในปัจจุบันเด็กมักไม่สนใจการเล่นเกมหมากกระดานเท่าไหร่ เนื่องจากชอบการเล่นเกมคอมพิวเตอร์มากกว่า การเล่นหมากรุกต้องใช้ความอดทนและฝึกสมาธิ ดังนั้นผู้ปกครองควรเสริมแรงให้เด็กรักการเล่นหมากกระดานต่างๆ โดยการเล่นกับเด็ก สอนวิธีเล่นอย่างสนุกสนาน และให้รางวัลเล็กๆน้อยๆ เพื่อที่เด็กจะหันกลับมาสนใจการเล่นหมากกระดานมากขึ้น
5. การต่อคำศัพท์ (Scrabble) : จะช่วยพัฒนาคำศัพท์และรู้จักความหมายของคำ และช่วยพัฒนาภาษา การคิดเลข การใช้เงิน การนับ และถ้าเล่นกันหลายคนรวมกัน จะช่วยพัฒนาด้านการปรับตัวเข้ากับสังคม รวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย
6. เรียนดนตรี : ดนตรีนับว่าเป็นกิจกรรมที่พัฒนาสมองและเป็นกำไรในการสร้างความฉลาดที่แสนสนุกอีกอย่างหนึ่งในช่วงปิดเทอม เด็กๆสามารถหาเวลาฝึกซ้อมในระหว่างวัน กิจกรรมดนตรีถือว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างวินัย สร้างความอ่อนโยนและช่วยพัฒนาสมองไปในตัว
7. ทำสวน : การทำสวนถือว่าเป็นการสอนธรรมชาติศึกษาให้แก่เด็ก ทำให้เด็กๆรักธรรมชาติ สร้างโลกสีเขียว ลดมลพิษทางอากาศและทำให้มีจิตใจที่อ่อนโยนอีกด้วย
8. เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ :ภาษาจีน ฯลฯ ซึ่งมีสถาบันภาษาเปิดสอนมากมาย สำหรับครอบครัวที่พอมีทุนทรัพย์ก็ขอแนะนำให้ไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ เพราะจะทำให้เด็กได้ในเรื่องของสำเนียง แต่สิ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่ช่วยพัฒนาคำศัพท์ การติดต่อสื่อสาร และการเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศนั้นๆอีกด้วย การให้เด็กได้อ่านหนังสือ เรียนรู้คำศัพท์ที่สนุกสนานจะช่วยให้เด็กๆรักการอ่านไปในตัว รวมทั้งพัฒนาความสามารถในการเขียนในอนาคต ในปัจจุบันการค้าเสรีเข้ามามีบทบาท การเปิดตัวกับต่างประเทศมีมากขึ้น ดังนั้นภาษานับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
9. จดบันทึก : การเขียนไดอารี การจดบันทึกจะช่วยพัฒนาการเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็น การจดบันทึกจะช่วยพัฒนาความคิดในการวางแผน การรู้จักตนเอง รวมทั้งเป็นการช่วยระบายความคับข้องใจ ความเครียด ช่วยทำให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ดี เมื่อเด็กเป็นคนรักการเขียนแล้ว ผู้ปกครองก็อาจสนับสนุนให้เขา เขียนเรื่องสั้น เขียนเรื่องราวในจินตนาการและท่องโลกในจินตนาการ การเขียนช่วยพัฒนาคำศัพท์ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ เป็นการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกผ่านตัวอักษร ซึ่งไม่แน่ลูกของเราอาจจะเป็นนักเขียนรางวัลซีไรท์ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้
10. เล่นเกมการศึกษาและเกมที่มีคุณค่าทางคอมพิวเตอร์ :มีนักการศึกษามากมายต่อต้านการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ นั่นหมายถึงเกมที่มีความรุนแรง หรือเกมที่เด็กติดจนไม่มีอันจะทำอะไร แต่เกมการศึกษาหรือเกมคอมพิวเตอร์บางอย่าง จะช่วยพัฒนาสมองและสร้างความสนุกสนานที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยได้ ดังนั้นการจัดเวลา การดูแลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการคัดสรรเกม นับว่ามีประโยชน์และจำเป็นเพราะเป็นทักษะที่สำคัญในอนาคต
11. เรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ การแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ การฝึกการสังเกตความเหมือนและความแตกต่าง การนับ การเพิ่มขึ้นและลดลง กิจกรรมคณิตศาสตร์เหล่านี้เด็กๆควรได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการบวกตัวเลขทะเบียนท้ายรถคันหน้า การสังเกตป้ายโฆษณา การช่วยคุณแม่ไปซื้อของที่ร้าน การทำแบบฝึกหัดที่สร้างสรรค์ ล้วนแล้วแต่เป็นการพัฒนาทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็นสำหรับชีวิตในอนาคต
กิจกรรมต่างๆทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น แต่จะเกิดประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อเด็กๆสนใจและใฝ่รู้ หากพวกเขาต้องทำเพราะเป็นความต้องการของพ่อแม่ สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย....
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น